Web for Absolute Reality - ปราบมารจริงหรือไม่จริง1/3
  Home
  Contact
  Guestbook
  ปราบมารจริงหรือไม่จริง1/1
  => ปราบมารจริงหรือไม่จริง1/2
  => ปราบมารจริงหรือไม่จริง1/3
  => ปราบมารจริงหรือไม่จริง1/4
  => “ปราบมาร” จริงหรือไม่จริง (2)
  วิชชาธรรมกายกับการสะกดจิต 1
  "นิพพานเป็นอัตตา" โง่หรือแกล้งโง่?1
  ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา1
  "อนัตตา" เข้าใจกันถูกต้องดีแล้วหรือ?1
  นิพพานกับความหมายตรงตัว1

ในข้อ 23 คุณดวงธรรมตั้งข้อสงสัยไว้ดังนี้

23. แล้วที่ไปสอนเด็กๆ ให้เห็นดวงปฐมมรรค ก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆ บางคนยังไม่เคยเห็นดวงปฐมมรรคเลยก็ไปสอนแล้ว คนสอนยังไม่เห็นแล้วทำไมคนเรียนเห็นทั้งชั้นได้เลยครับ (ภายใน 10 ปีที่ผ่านมา คณะของคุณลุงการุณย์นี้สอนไปแล้วประมาณ  5 แสนคน หลายร้อยโรงเรียน ซึ่งอ้างว่าเห็นดวงปฐมมรรค เฉลี่ยทั้งหมด 95% และได้ต่อวิชชา 18 กายเฉลี่ย 90 กว่า% ) ลองดูซิครับ คณะที่ไปสอนเองส่วนมากก็ยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคเลย แล้วนักเรียนเห็นกันเกือบหมดคิดดูครับ) คิดดูครับคณะนี้ สอนวิชชาเก่งกว่าหลวงพ่ออีกครับ  ไปสอนเด็กก็ดีครับ แต่ถ้าครูที่ไปสอนเด็กไม่รู้วาระจิตคนอื่น จะถูกเด็กหลอกได้

 

ประเด็นนี้อาจจะแยกข้อสงสัยออกเป็น 2 ประเด็นย่อย กล่าวคือ

1) ผู้สอนยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคทำไมสอนให้เด็กเห็นได้

2) ผู้สอนไม่รู้วาระจิตคนอื่น จะถูกเด็กหลอกได้

 

ประเด็นย่อยที่ว่า ผู้สอนยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคทำไมสอนให้เด็กเห็นได้  ผมเองก็ยังสงสัยว่า คุณดวงธรรมไปเอาหลักการที่ไหนมาที่ตั้งเป็นเกณฑ์ขึ้นว่า ครูผู้สอนต้องเห็นดวงธรรมเสียก่อน เสียจึงจะไปสอนให้เด็กเห็นดวงธรรมได้   ตรงนี้คุณดวงธรรมน่าจะอธิบายหลักเกณฑ์ที่คุณดวงธรรมตั้งขึ้นมาเสียก่อน 

 

นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า คุณดวงธรรมไม่เชื่ออะไรไปลอยๆ อย่างไม่มีเหตุผล  ตั้งข้อสงสัยไปดะ  ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเลย  ในความเป็นจริงแล้ว วิทยากรที่จะไปสอนได้  ต้องไปสอบเป็นวิทยากรกับคุณลุงเสียก่อน   เนื้อหาที่จะต้องไปสอบก็ต้อง ท่อง ปากปล่าวเป็นเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เลยทีเดียว  เมื่อสอบเป็นวิทยากรได้แล้ว  ก็ต้องไปเป็นวิทยากรผู้ช่วยอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

ประสบการณ์ของผมก็คือ ผมไปสังเกตการณ์การทำงานของกลุ่มวิทยากรของคุณลุงการุณย์เกือบ 2 ปี ไปร่วมประชุมทุกเดือน  แล้วจึงตัดสินใจไปสอบเป็นวิทยากร  เมื่อไปสอบแล้วก็ไปเป็นวิทยากรผู้ช่วยอีกประมาณ 2 ปี  แล้วจึงมาสอนเป็นวิทยากรเอกเอง

 

เพื่อเป็นการอธิบายให้สมกับฐานะที่มีอาชีพครู และร่ำเรียนจนจบปริญญาเอก  ผมขอบอกว่า ในการสอนวิชาการทางโลกก็เช่นเดียวกัน  การสอนวิชาการในโลกนี้ เป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ที่ครูผู้สอนไม่มีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่สอนแต่ประการใด แต่ก็สามารถสอนให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจได้

 

ยกตัวอย่างเช่น การสอนเรื่องหิมะ  หรือเรื่องเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ เป็นต้น  ครูของไทยมีสักกี่คนที่จะมีประสบการณ์ไปเห็นขั้วโลกทั้งเหนือหรือใต้มาด้วยตัวเอง  แม้กระทั่งหิมะ ครูจำนวนมากก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน  แต่ทำไมครูเหล่านั้นจึงสอนสิ่งเหล่านี้ได้

 

นั่นก็เป็นเพราะ มันมีหลักสูตร มีหลักวิชาไว้สำหรับยึด เพื่อเป็นวิธีการในการสอน  ในการสอนวิชชาธรรมกายก็เช่นเดียวกัน  เรามีหลักสูตร มีหลักการสอนที่เป็นมาตรฐาน  วิทยากรบางคนที่สอนออกนอกแนวไป  ก็ยังมีการถูกห้ามสอน   ผมขอยืนยันว่า การสอนวิชชาธรรมของกลุ่มวิทยากรของคุณลุงการุณย์ สอนอย่างเป็นวิชาการตามหลักการทุกประการ  สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการหาความรู้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) 

 

ประเด็นย่อยที่ว่า ผู้สอนไม่รู้วาระจิตคนอื่น จะถูกเด็กหลอกได้ 

ประเด็นนี้แสดงความไม่รู้ในหลักวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรมของคุณดวงธรรม นอกจากนั้นแล้ว ยังแสดงตัวตนของคุณดวงธรรม ที่เชื่อว่า ความรู้ของตนถูกต้องไปเสียหมด ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรมากนัก  นอกจากนั้น คุณดวงธรรมยัง ใจร้าย และมีอคติกับเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ด้วยว่า จะถูกเด็กหลอกได้

 

เอาประเด็นเรื่อง ไม่รู้วาระจิตคนอื่นก่อน  คุณดวงธรรมไปเอาหลักเกณฑ์มาจากไหนที่ว่า ผู้สอนธรรมปฏิบัติควรจะรู้ว่าวาระจิตของคนอื่นเสียก่อน  จึงจะไปสอนคนอื่นได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชชาธรรมกาย  หลวงพ่อสดท่านเขียนหรือกำหนดไว้ตรงไหน อย่างไร ว่าวิทยากรที่จะไปสอนคนอื่นนั้น  ต้องรู้วาระจิตของผู้อื่นเสียก่อน

 

อย่าลืมว่า เรากำลังถกกันเรื่องวิชชาธรรมกาย  อาจจะเป็นไปได้ที่ว่า มีสายปฏิบัติอื่นๆ ที่กำหนดไว้ว่า ผู้สอนปฏิบัติธรรมจะต้องรู้วาระจิตของผู้อื่นก่อน จึงจะไปสอนได้  ซึ่งผมเองก็ปฏิบัติธรรมมาเกือบทุกสาย ไม่ว่าจะเป็น ยุบหนอพองหนอ (บวชวัดอัมพวัน สิงห์บุรี 1 พรรษา) สายพุทโธ สายนะมะพะทะ เป็นต้น  ก็ยังไม่เห็นมีใครกำหนดเกณฑ์ดังกล่าวขึ้นมา 

 

ดังนั้น  ถ้าคุณดวงธรรมจะเอาเกณฑ์นี้ขึ้นมาจับ หรือนำกฎเกณฑ์นี้มาเป็นมาตรฐาน คุณดวงธรรมจะต้องไปหาหลักฐานในวิชชาธรรมกายมายืนยันให้ได้ว่า หลวงพ่อสดกำหนดเกณฑ์ไว้ว่า วิทยากรจะต้องรู้วาระจิตของผู้อื่นเสียก่อน จึงจะไปสอนได้   ซึ่งผมเองก็ศึกษาวิชชาธรรมกายมา  อ่านหนังสือจนครบเกือบทุกเล่ม  ยังไม่พบว่า หลวงพ่อสดท่านกำหนดเกณฑ์ดังกล่าวไว้ ณ ที่ใด 

 

ประเด็นที่สำคัญที่น่าจะกล่าวถึงให้มากก็คือ การที่คุณดวงธรรมไปสงสัยเอากับเด็กที่คนทั้งโลกเขาเชื่อว่า เป็นผู้บริสุทธิ์  จะมีเจตนามาหลอกวิทยากร หรือวิทยากรเซ่อซ่าเด๋อด๋าจน ถูกเด็กหลอกได้ทำไมคุณดวงธรรมมีอคติกับเด็กถึงขนาดนี้  คุณดวงธรรมสงสัยการสอนของวิทยากร ก็สงสัยไป  ทำไมจะต้องไปสงสัยด้วยว่า เด็กจะหลอกวิทยากร 

 

วิทยากรแต่ละคนไม่ใช่เป็นคนไม่มีความรู้ วิทยากรเป็นแพทย์ก็มี เป็นวิศวกรก็มี  เป็นครูอาจารย์เกษียณแล้วก็มี  เป็นดอกเตอร์ก็มี  วิทยากรเหล่านี้ ถ้าถูกเด็กหลอก (สมมุติว่ามีจริงๆ) จะไม่รู้เลยหรือว่า เด็กหลอกอยู่  แล้วเด็กจำนวนเป็นแสนๆ คน จะหลอกวิทยากรทั้งหมดเลยหรือ

 

นอกจากนั้นแล้ว ผมเองยังไม่เห็นเหตุผลอย่างเป็นวิชาการเลยว่า ทำไมเด็กจะต้องหลอกวิทยากรด้วย  วิทยากรไปสอนเด็กนักเรียนนักศึกษาไปสอนเพื่อเป็นการสร้างบารมี โดยหวังว่าการทำงานในครั้งนี้จะทำให้สังคมดีขึ้น จะมีคนดีมีศีลธรรมมากขึ้น  การไปสอนก็ออกค่าใช้จ่ายเอง ไม่ได้ไปขอค่าสอน หรือวัตถุอื่นใด  เด็กกับวิทยากรก็ไม่รู้จักกัน ส่วนใหญ่พอสอนแล้ว ก็แยกกันไป  ความถี่ที่จะพบกัน  ก็ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ในบางกรณีสอนได้ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เจอกันอีกเลย  ผมยังมองไม่ออกเลยว่า เด็กจะ หลอก วิทยากรไปทำไม  ด้วยผลประโยชน์อะไร

 

อันที่จริงแล้ว มีเด็กที่พยายามหลอกวิทยากรเหมือนกัน  แต่คนละประเด็นกับที่คุณดวงธรรมตั้งข้อสงสัย   เหตุการณ์ที่เด็กพยายามหลอกวิทยากรว่าเห็นดวงธรรมเท่าที่พบเห็นมีดังนี้

 

ในการสอนบางครั้ง เมื่อเด็กเห็นดวงธรรมแล้ว ก็จะมีการแยกเด็กออกไปปฏิบัติเป็นกลุ่มย่อย  เด็กบางคนนึกว่า ถ้าเห็นดวงธรรมแล้ว ก็กลับบ้านได้  พอมีเด็กส่วนหนึ่ง เห็น จริงๆ  แต่ตัวเองยังไม่เห็น ก็เลยยกมือไปด้วย  เมื่อวิทยากรถามว่า ใครเห็นดวงธรรมในท้องแล้วให้ยกมือขึ้น  

 

ในกรณีเช่นนี้จะเห็นว่า มีเด็กเห็นดวงธรรมจริงๆ จำนวนหนึ่งยกมือขึ้น  เด็กบางคนก็ยกมือตาม   ในกรณี พบน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นเด็กในระดับอาชีวศึกษา  แทบจะไม่พบเลยในระดับประถมศึกษาและในระดับมัธยมศึกษา

 

ประเด็นนี้ แสดงว่า คุณดวงธรรมเอาความไม่เชื่อโดยไม่มีหลักวิชาการเป็นตัวตั้ง แล้วก็ตั้งข้อสงสัยมั่วไป  แม้จนกระทั่งเด็กที่ขนาดในวงการยุติธรรมยังรับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่หลอกลวงใครเพื่อผลประโยชน์อามิสสินจ้าง   อาจจะมีบ้าง ถ้าจะมีการทำโทษกัน เด็กอาจจะโกหกเพื่อเอาตัวรอด  แต่ประเด็นนี้ เป็นการไปสอนธรรมปฏิบัติ  และเป็นการวัดผลเพื่อดำเนินการสอนในระดับต่อไป  เด็กจะโกหกไปหาพระแสงด้ามยาวไปทำไม 

 

ในข้อ 24 คุณดวงธรรมตั้งข้อสงสัยไว้ดังนี้

24. แล้วที่สำคัญเด็กประถม เด็กอนุบาลที่ไปสอนนั้น ผมขอวานให้ผู้ที่ไปสอนช่วยกำชับถามเด็กจริงๆนะครับ ย้ำว่าให้ถามว่า (เพราะยังไงคุณก็ไม่มีตาทิพย์ที่จะรู้ เลยให้ถามแทน) เด็กที่เห็นดวงปฐมมรรคนั้น เห็นจริงดุจตาเนื้อเห็นรูป ไม่ใช่เห็นแบบใช้ความคิดเห็น (ยกตัวอย่างว่า ถ้าเราเห็นหน้าแฟนเราตัวจริง กับคิดถึงหน้าแฟน มันต่างกันมั้ยครับ) อันนี้ลองไปคิดดู แล้วลองถามแบบนี้จริงๆ ไม่งั้นจะทำให้หลง เป็นวิปัสสนึกไปอย่างเดียว ครับ

 

ประเด็นนี้ ผมตอบคุณดวงธรรมได้เลย เพราะ ผมเองนั้นทั้งสอนและทำวิจัยมาแล้ว และประการสำคัญที่สุดเลย  ผมเองก็เห็นกายธรรมในท้องของผมด้วย  ผมจะอธิบายทั้งงานวิจัย ทั้งการสังเกต การสัมภาษณ์ และประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการฝึกปฏิบัติของตัวผมเองเลยด้วย

 

ก่อนอื่นก็ตั้งข้อสงสัยอีกว่า คุณดวงธรรมทำไมตั้งคุณสมบัติของวิทยากรไว้สูงส่งเหลือเกิน ที่กล่าวผ่านมาแล้วก็คือ วิทยากรจะต้องรู้วาระจิตของคนอื่น  วิทยากรจะต้องมีตาทิพย์  คุณดวงธรรมตั้งคุณสมบัติของวิทยากรไปทำนองเพ้อฝัน หรือไม่รู้จริงในเรื่องของธรรมปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่น

 

ผมขออธิบายในเบื้องต้นนี้ก่อนว่า ในฐานะที่สอนวิชชาธรรมกาย  ในการสอนเด็ก ผมก็ทั้งสังเกต ทั้งสัมภาษณ์เด็กนักเรียน/นักศึกษา  และทำวิจัยเกี่ยวกับวิชชาธรรมกายเรื่อง ผลของการปฏิบัติธรรมที่มีต่อความฉลาดทางปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ไปเรียบร้อยแล้ว และในฐานะที่ได้เห็นผลของการปฏิบัติธรรมต่อตนเองแล้ว ผมขออธิบายเกี่ยว การเห็น ในวิชชาธรรมกาย ดังนี้

Today, there have been 3 visitors (5 hits) on this page!
This website was created for free with Own-Free-Website.com. Would you also like to have your own website?
Sign up for free