ประการที่สาม ผู้ที่ตั้งข้อสงสัยหรือผู้ที่กล่าวหานั้นเคยสังเกตการณ์การสอนปฏิบัติธรรมมากน้อยขนาดไหน?
ประเด็นนี้ก็มีไว้เพื่อให้การตั้งข้อสังเกตครอบคลุมปัญหา กล่าวคือ ถ้าไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านการสะกดจิต หรือไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการปฏิบัติธรรม แต่ถ้ามีเวลามาสังเกตการณ์การสอนเป็นจำนวนมากครั้ง ติดตามการสอนไปในหลายๆ ที่ หลายๆ แห่ง น้ำหนักของการตั้งข้อกล่าวหาก็อาจจะมีมากพอสมควร
แต่จากการที่ถูกกล่าวหามาด้วยตนเอง และจากการอ่านพบในข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่างๆ ผู้เขียนพบว่า ผู้ที่ตั้งข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัย "ไม่มี" ทั้งความเชี่ยวชาญในด้านการสะกดจิต “ไม่มี" ทั้งความเชี่ยวชาญในด้านการปฏิบัติธรรม และก็ไม่เคยมาสังเกตการณ์การสอนของเหล่าวิทยากรเลย นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังไม่ใช่เป็นนักวิชาการที่มีพื้นฐานทางด้านปรัชญาหรือทฤษฎีความรู้อีกด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ได้เป็น "นักอ่าน" อีกด้วย
ในเมื่อไม่มีความเชี่ยวชาญในความรู้ที่เกี่ยวข้อง ทำไมจึงเกิดข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการสะกดจิตขึ้นมาได้?
ปัญหาเกี่ยวกับ "การสะกดจิต" นั้นเกิดจาก "ผล" อย่างน้อย 2 ประการ ดังนี้คือ
ประการแรก การสอนของกลุ่มวิทยากรได้ผลจริง กล่าวคือ ผู้ตั้งข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยดังกล่าว ต้องได้รับข้อมูลข่าวสารว่า การสอนได้ผลจริงอย่างอัศจรรย์ และประการที่สอง ผู้ตั้งข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยดังกล่าว "ไม่เชื่อ"
ในเมื่อไม่เชื่อ และก็ไม่มีองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจนถึงขนาดพอเพียง ในการหา "หลักฐาน" หรือ "เหตุผล" มาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของการสอนของกลุ่มวิทยากรที่ได้ผลเป็นอัศจรรย์ จึง "มั่วนิ่ม" ไปเลยว่า ว่า "เป็นการสะกดจิต" ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการสะกดจิตแม้แต่น้อยนิด
จากข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นจึงนำมาสู่ ข้อสังเกตที่สำคัญประการที่ 4 คือ
ประการที่สี่ ถ้าการสอนวิชชาธรรมกายของคณะศิษย์คุณลุงการุณย์ บุญมานุชเป็นการสะกดจิตจริง แล้วมันเป็นยังไง?
ข้อสังเกตประการนี้เกิดจาก "ความจริง" ที่ว่า ผู้ที่ตั้งข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยส่วนใหญ่ ตั้งข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยเพียงแต่ว่า การสอนของวิทยากรเป็น "การสะกดจิต" แค่นั้น แล้วไม่อธิบายหรือขยายความต่อว่า "มันเป็นยังไง" และจะส่งผลอย่างไร
เนื่องจากการสะกดจิตในวงวิชาการที่พบเห็นนั้น เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยของจิตแพทย์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่เป็นสิ่งที่ "เสียหาย" ต่อผู้ถูกสะกดจิตแต่อย่างใด
การสะกดจิตที่เป็นที่เสียหาย ผู้เขียนรับฟังแต่คำเล่าลือ และไม่ยอมรับกันทั้งในวงการตำรวจ หรือวงวิชาการก็คือ การสะกดจิตจากคนร้ายเพื่อต้องการทรัพย์สินเงินทองจากเหยื่อ ในทำนองที่ว่า เห็นทองตกอยู่พร้อมกันๆ เมื่อเห็นทองตกอยู่พร้อมกันก็มีสิทธิ์ที่จะแบ่งทองกันได้ ผลสุดท้ายก็คือ แลกทองที่เก็บได้ กับทองในคอของเหยื่อ และทองที่เก็บได้กลับกลายเป็นทองเก๊ ผู้ตกเป็นเหยื่อมักจะไปแจ้งความว่า ถูกสะกดจิตบ้าง หรือถูกป้ายด้วยน้ำอะไรบ้าง จนกระทั่งตกภวังค์อยู่ในคำสั่งของผู้หลอกลวง
กรณีดังกล่าวนั้น ผู้สันทัดกรณีบ้าง ไม่สันทัดกรณีบ้างสันนิษฐานว่า เกิดจากความโลภและเทคนิคในการโน้มน้าวใจของผู้ร้ายมากกว่าที่จะเกิดจากการสะกดจิต แต่ในการไปแจ้งความจะไปบอกตำรวจอย่างซื่อๆ ว่า เกิดจากดิฉันโลภเอง ก็จะกลับกลายเป็นที่อับอายมากขึ้นไปอีก จึงต้องแจ้งความไปในทำนองนั้น
ในกรณีที่ว่า วิทยากรไปสอนเด็กนักเรียนทั้งหลาย เพื่อเจตนาที่จะไปสะกดจิตเด็กนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะ วิทยากรผู้ไปสอนการปฏิบัติธรรมให้ตามโรงเรียนต่างๆ เหล่านั้น ไปสอนเพื่อสร้างบารมีให้กับตัวเอง โดย "ไม่" รับค่าตอบแทนแต่ประการใด และโดยความเป็นจริงแล้ว วิทยากรทุกคนต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนตัวเป็นจำนวนมากในการไปสอนในแต่ละครั้ง
เฉพาะในกรณีของผู้เขียนบทความเองแล้ว ถ้าผู้เขียนสะกดจิตเป็น และอยากได้เงินจริงๆ จังๆ ผู้เขียนคงจะไปสะกดจิตเศรษฐี เช่น บิล เกตส์ (Bill Gate) ไปเสียเลยดีกว่า เพราะ บิล เกตส์ (Bill Gate) นี่ชอบบริจาคเงินอยู่แล้ว สะกดครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ
นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นที่น่าสงสัยด้วยว่า ถ้ามีการสะกดจิตเพื่อให้ผู้คนถอดหรือยื่นทรัพย์สินให้คนร้ายได้จริง คนร้ายต่างๆ เหล่านั้น ไป "เรียน" ที่ไหนกันมา เพราะเทคนิคการสะกดจิตไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เท่าที่รับรู้ก็มีการเรียนในสาขาจิตแพทย์เท่านั้น หรือคนร้ายต่างๆ เหล่านั้น เคยเรียนจิตแพทย์มา แต่ตกอับ จนถึงต้องมาสะกดจิตคนเพื่อต้องการทรัพย์สินเพื่อเลี้ยงชีพ
โดยสรุปในเบื้องต้นนี้ ผู้เขียนข้อยืนยันว่า การสอนวิชชาธรรมกายของคณะศิษย์คุณลุงการุณย์ บุญมานุช "ไม่เป็น" การสะกดจิตอย่างแน่นอน และยิ่งกว่านั้น เป็นการสอนตามวิธีการสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้องที่สุด และเป็นการสอนแบบ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" อีกด้วย ซึ่งหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ไม่มีการบันทึกว่า มีการสอนที่ได้ผลเช่นนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันนี้
การที่มีผู้สงสัยว่า วิทยากรทำไมสอนเด็กนักเรียน/นักศึกษาแล้ว ทำไมเด็กนักเรียน/นักศึกษาจึงเห็นดวงธรรม/กายธรรมเร็วมาก จนไม่นึกว่าจะเกิดจากการปฏิบัติธรรมของตัวผู้ปฏิบัติธรรมเอง น่าจะเกิดจากการสะกดจิตมากกว่า สิ่งที่อธิบายต่อไปคือ เรื่อง “การเห็น” ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิบัติสายวิชชาธรรมกาย ถ้าไม่เห็นไม่ใช่วิชชาธรรมกาย
[หมายเหตุ: อันที่จริงแล้ว คำว่า “วิปัสสนา” แปลว่า “เห็นแจ้ง” ดังนั้น สายธรรมปฏิบัติใดที่อ้างว่าสายของตนนั้นเป็นวิปัสสนา แต่ปฏิเสธการเห็น ย่อมเป็นการเข้าใจผิด สายปฏิบัติธรรมนั้นๆ ไม่ใช่วิปัสสนาแน่นอน ดูคำแปลก็เห็นได้ชัดเจน สายวิชชาธรรมกายนั้น หลักคำสอนสอดคล้องกับการวิปัสสนามาก ซึ่งจะอธิบายในบทความที่เกี่ยวข้องต่อไป]
การเห็นดวงธรรม/กายธรรมในสายวิชชาธรรมกาย "เห็น" อย่างไร
ในการสอนปฏิบัติของวิชชาธรรมกายนั้น วิทยากรจะบอกให้ผู้เรียน "นึก" ให้เห็นดวงแก้วกลมใส ขนาดพอเหมาะตามแต่ผู้เรียนจะนึกเอา โดยปกติก็ขนาดเท่ากับแก้วตาดำหรือขนาดเท่ากับลูกแก้วที่เด็กๆ นิยมเล่นกัน
เมื่อนึกได้แล้ว วิทยากรก็จะอ่าน/บอกวิชชาให้ผู้เรียนนำดวงนิมิตใสไปตามฐานต่างๆ 7 ฐาน คือ
1) ปากช่องจมูก หญิงซ้ายชายขวา
2) เพลาตา หญิงซ้ายชายขวา (หัวตาตรงที่น้ำตาไหลออกมา)
3) จอมประสาท (กลางกะโหลกศีรษะ ระดับเดียวกับดวงตา)
4) ปากช่องเพดาน/เพดานปาก (ตรงจุดที่สำลักน้ำ/อาหาร)
5) ปากช่องลำคอ (เหนือลูกกระเดือกนิดหนึ่ง)
6) ฐานของศูนย์กลางกาย (กลางท้อง ระดับเดียวกับสะดือ)
7) ศูนย์กลางกาย (เหนือฐานที่ 6 สองนิ้วมือ)
ในขณะที่วิทยากรบอกวิชชานั้น ผู้เรียนไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ทำตามคำบอกของวิทยากรอย่างเดียว ลักษณะนี้นี่แหละ ที่ทำให้ "อารมณ์" ของผู้เรียนสามารถรวมเป็นหนึ่ง (เอกัตคตารมณ์) ได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กนักเรียน ซึ่งไม่ค่อยมีเรื่องอะไรรกหัวอยู่แล้ว
เมื่อใจ/จิต/วิญญาณสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ ผู้เรียนจึงมีโอกาสเห็นดวงปฐมมรรค/ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานได้ง่ายที่สุด ในกรณีที่เป็นเด็กอนุบาล 2 เมื่อวิทยากรบอกวิชชาจบ เด็กก็จะเห็นดวงปฐมมรรค/ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานได้ในทันที เด็กที่อยู่ชั้นสูงขึ้นก็ใช้เวลามากขึ้นไปเป็นลำดับ แต่จากประสบการณ์การสอน ตั้งแต่ชั้น เด็กอนุบาล 2 - ม. 6 ใช้เวลาเพียง 20 นาที เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ก็เห็นดวงปฐมมรรค/ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว