ผลของการศึกษาวิเคราะห์
ประการแรก
ข้อความที่ว่า "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา" นั้นถูกต้องตามพุทธพจน์แล้วทุกประการ
คำอธิบาย
ในการโจมตีคำสอนของวิชชาธรรมกายนั้น ฝ่ายตรงข้ามนั้น "ยอมรับ" ว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง เพราะมีข้อความในพระไตรปิฎกเป็นจำนวนมากยืนยันไว้ ความหมายที่ว่า "นิพพานคงที่/เที่ยง" ซึ่งหมายถึง "นิพพานเป็นนิจจัง" และความหมายที่ว่า "นิพพานมีความสุข" ซึ่งหมายถึง "นิพพานเป็นสุขัง" นี่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ไม่มีคู่ทะเลาะคู่ใดถกเถียง/โต้แย้งกันในเรื่องนี้ พุทธเถรวาททั้งหมดยอมรับในเรื่องนี้
ความหมายของหลวงพ่อสดที่ต้องการสื่อสารไปให้คนฟังนั้น อธิบายให้เห็นภาพพจน์เลย ต้องขอยืมหลักการของทางคณิตศาสตร์ กล่าวคือ ในความหมายของหลวงพ่อสดนั้น
นิจจัง = สุขัง = อัตตา
ในความเป็นจริงแล้ว คำอธิบายที่ว่า "นิจจัง = สุขัง = อัตตา" ยังไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงนัก เป็นเพียงคำอธิบายให้เห็นภาพพจน์เท่านั้น อันที่จริงแล้ว ความหมายของนิจจัง/สุขัง/อัตตาเป็นความหมายเดียวกัน เป็นสิ่งเดียวกัน แต่แยกอธิบายออกเพื่อให้เข้าใจ ถ้าบอกว่า "สิ่ง" หนึ่งเป็นนิจจัง โดยไม่ได้บอกว่าเป็นสุขัง/อัตตา ด้วย ก็พึงโปรดรู้ด้วยว่า "สิ่ง" นั้นเป็น "นิจจัง/สุขัง/อัตตา" ไปโดยอัตโนมัติ เพราะในการพูดหรือเขียนครั้ง สำนวนภาษาในช่วงนั้น ไม่เหมาะสมถ้าจะกล่าวยาวๆ เป็นต้น
โดยสรุปอย่างสั้นๆ
ถ้ากล่าวว่าสิ่งใดเป็น "นิจจัง" สิ่งนั้นก็ต้องเป็น สุขัง/อัตตา เป็นโดยอัตโนมัติ
ถ้ากล่าวว่าสิ่งใดเป็น "สุขัง" สิ่งนั้นก็ต้องเป็น นิจจัง/อัตตา เป็นโดยอัตโนมัติ
ถ้ากล่าวว่าสิ่งใดเป็น "อัตตา" สิ่งนั้นก็ต้องเป็น นิจจัง/สุขัง เป็นโดยอัตโนมัติ
แล้วหลักในการอธิบาย "สิ่ง" ต่างๆ นั้น ถ้าไม่แยกคำออกมาอธิบายออกเป็นส่วนๆ แล้ว จะทำให้ "เข้าใจ" ลำบาก หรือเข้าใจยาก ดังนั้น จึงพึงควรเข้าใจว่า "สิ่ง" ทุกอย่างนั้น ประกอบกับเป็นองค์รวม ไม่สามารถแยกออกได้ แต่ในการอธิบายต้องแยกอธิบายที่ละอย่างที่ละส่วน
ตรงนี้ผู้ให้ผู้เขียนเข้าใจให้ดี จะเห็นว่า นิจจัง/สุขัง/อัตตา เป็นการอธิบาย "สิ่ง" เดียวกัน คือ นิพพาน ไม่ใช่อธิบาย "สิ่ง" จำนวน 3 ชิ้น กล่าวคือ ถ้ามีนิพพาน 3 แห่ง
นิพพานแห่งหนึ่งเป็น "นิจจัง"
นิพพานแห่งหนึ่งเป็น "สุขัง"
นิพพานแห่งหนึ่งเป็น "อัตตา"
ดังนั้น อาจจะตีความไปได้ว่า นิจจัง/สุขัง/อัตตา มีความแตกต่างกันในทางความหมาย
จากหลักฐานเพียงแค่นี้ ก็พิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้ง/แจ่มชัดแล้วว่า ข้อความที่ว่า "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา" นั้นถูกต้องตามพุทธพจน์แล้วทุกประการ
ประเด็นโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
ในข้อเขียนของฝ่ายที่โจมตีคำสอนของวิชชาธรรมกาย มีบางท่านเขียนยอมรับแบบ "เสียงอ่อยๆ" ว่า ยอมรับว่า "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง" แต่ไม่ยอมรับว่า "นิพพานเป็นอัตตา"
อ้าว! ทำอย่างนั้นได้อย่างไง.....
ก็ในเมื่อหลวงพ่อสด เจ้าของข้อความ ท่านต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจว่า "นิจจัง = สุขัง = อัตตา" ท่านจึงสอนทุกครั้งว่า "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา" ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะสอนว่า "นิพพานเป็นอัตตา"
นอกจากนั้นแล้ว โดยสภาพของศัพท์เอง นิจจัง/สุขัง/อัตตา เป็นคำอธิบายสภาวะเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น การที่ผู้วิจารณ์หรือผู้โจมตีไปเอาแต่เพียงคำว่า "นิพพานเป็นอัตตา" มา ตัด "นิจจัง/สุขัง" ที่สำคัญมากๆ ออกไป ที่ว่าสำคัญมากๆ นั้นก็เพราะว่าพุทธเถรวาทยอมรับกันโดยทั่วไปว่าถูกต้อง
การที่ตัดเอามาวิเคราะห์เพียงแต่ว่า หลวงพ่อสดสอนว่า "นิพพานเป็นอัตตา" มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องอย่างมีมารยาทและเทคนิควิธีการของนักวิชาการที่มีคุณธรรมจริยธรรมแล้วหรือ! ขอให้ผู้อ่านลองตรึกตรองดูทีรึ... แล้วลองตรองดูอีกว่า.....
ผู้ที่เขียนหรือกล่าวข้อความดังกล่าว โง่หรือแกล้งโง่.........กันแน่
ประการที่สอง
คำว่า "นิจจัง/สุขัง/อัตตา" นั้นในข้อความ "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา" เป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) ไม่ใช่คำนาม (noun) อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจแบบโง่ๆ
บางท่านอาจจะตั้งข้อสงสัยอีกว่า คำคุณศัพท์ (Adjective) กับคำนาม (noun) มันจะแตกต่างกันถึงขนาดไหน ความหมายน่าจะคล้ายๆ กัน
ผู้เขียนขอยืนยันว่า แตกต่างกันมาก แต่ไม่ถึงขนาด "ฝ่าเท้าของคนที่นั่งอยู่ก้นเหว กับหลังมือของคนที่อยู่บนท้องฟ้า" ยังไม่ถึงขนาดนั้น เมื่อยังไม่ถึงขนาดนั้น แล้วมันแตกต่างกันขนาดไหน
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างของคำว่า happy-happily-happiness ก็แล้วกัน ความหมายที่นำมานี้ นำมาจาก พจนานุกรมเล็กซิตรอน" หรือ "LEXiTRON" ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ซึ่งได้ให้ความหมายและประเภทของคำทั้ง 3 คำไว้ดังนี้
1) happy [ADJ]; มีความสุข
2) happily [ADV]; อย่างมีความสุข
3) happiness [N]; ความสุข
จะเห็นว่า คำว่า happy มีคำบอกประเภทของคำว่า [ADJ] หมายถึงว่า คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ในทำนองเดียวกัน happily เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) และคำว่า happiness เป็นคำนาม (Noun)
ดูการใช้งานของคำทั้ง 3 คำข้างต้น ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างโดยสมมุติเหตุการณ์ว่า มีคนสองคนคุยกัน แล้วพูดถึงบุรุษที่สามซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่ห่างๆ ผู้พูดและผู้ฟังสามารถมองเห็นบุรุษที่สามได้ ในขณะที่พูดคุยกันอยู่ ดังนี้
1) He is happy.
2) He is a happy man.
3) He smiles happily.
4) Happiness is a property of persons.
ประโยคที่ 1) He is happy. ประโยคนี้ ผู้พูดพูดเพื่อบรรยายสภาพหรือสภาวะของ "He" ว่า กำลังมีความสุขในขณะที่พูดประโยคนั้น
ประโยคที่ 2) He is a happy man. ประโยคนี้ ผู้พูดพูดเพื่อบรรยายว่า "He" เป็นคนที่โดยทั่วๆ ไปแล้ว มีความสุข คืออาจจะมีความทุกข์บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วมีความสุข
ทั้ง 2 ประโยคข้างต้นนั้น บอกตำแหน่งของคำคุณศัพท์ (adjective) ว่า ปรากฏอยู่ได้ 2 ตำแหน่งคือ
1) ตามหลัง verb to be [is/am/are/was/were] และมีหน้าที่เพื่อบรรยายสภาพของประธาน
2) อยู่หน้าคำนาม เพื่อขยายความให้คำนามเหล่านั้น ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร อ้วน ต่ำ ดำ ขาว สุข ทุกข์ ฯลฯ เป็นต้น
ประโยคที่ 3) He smiles happily. ประโยคนี้ ผู้พูดพูดเพื่อบรรยายว่า "He" กำลังยิ้มและยิ้มอย่างมีความสุขด้วย ไม่ใช่ยิ้มแห้งๆ เหมือนดั่งคนไทยในยุคประชานิยมแบบเอื้ออาทรที่ผ่านมา หรือคนไทยที่กำลังถูกเจ้านายตำหนิ
ประโยคที่ 4) Happiness is a property of persons. ผู้เขียนยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่า คำคุณศัพท์ (adjective) นั้น ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นประธานได้ เมื่อต้องการที่จะนำความหมายว่า "สุข/happy" ขึ้นมาเป็นประธาน ก็ต้องเปลี่ยนประเภทของคำจากคำคุณศัพท์ (adjective) ให้เป็นคำนาม (noun) เสียก่อน
Happy จึงเปลี่ยนเป็น happiness
สุข จึงเปลี่ยนเป็น ความสุข เป็นต้น
บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมผู้เขียนต้องยกตัวอย่างเป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำไมไม่ยกตัวอย่างเป็นภาษาจีน หรือภาษาเยอรมันไปเสียเลย
ที่ต้องยกตัวอย่างเป็นภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาจีนก็เพราะว่า ภาษาบาลีกับภาษาอังกฤษเป็นภาษาอยู่ในตระกูลเดียวกัน ทั้งภาษาบาลีกับภาษาอังกฤษนั้น ภาษาไทยรับเข้ามาใช้เหมือนกัน จะทำให้อธิบายได้เข้าใจง่ายขึ้น ส่วนภาษาจีนถึงแม้ว่า ภาษาไทยรับมาเยอะเหมือนกัน แต่เป็นคนละตระกูลกับภาษาบาลี
จะเห็นว่า ภาษาจีนเป็นภาษาที่อยู่คนละตระกูลกับภาษาบาลี ผู้เขียนจึงไม่ยกมาเป็นตัวอย่าง แล้วทำไมไม่ยกตัวอย่างที่เป็นภาษาเยอรมันล่ะ อันนี้ก็ตอบง่ายๆ แบบซื่อๆ ว่า ผู้เขียนไม่เคยเรียนภาษาเยอรมัน เป็นคำตอบสุดท้ายแบบง่ายๆ ที่สุด
กลับมาที่คำว่า "นิจจัง/สุขัง/อัตตา" ทั้ง 3 คำนั้น คำว่า "นิจจัง/สุขัง/" ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งความหมายและคำศัพท์ คำว่า "อัตตา" นี้ต้องการคำอธิบายให้มากๆ ดังนี้
ก่อนอื่นอย่าลืมว่า ประเด็นที่เรากำลังสนใจกันอยู่นี้ นำมาจาก "พระไตรปิฎกภาษาไทย" มิได้นำมาจากพระไตรปิฎกภาษาบาลี ทุกคำที่นำเสนอในที่นี้เป็นภาษาไทยไปแล้วทั้งสิ้น
คำว่า "อัตตา" นั้น พระไตรปิฎกภาษาไทย รับมาจากภาษาบาลีแล้ว เป็นการรับมาแบบทับศัพท์ และกำหนดให้เป็นคำประเภทคำคุณศัพท์ (Adjective) ในกรณีที่เป็นคำนาม พระไตรปิฎกรับมาจากภาษาบาลีโดยแปลเป็นคำว่า "ตน"
หลักฐานๆๆๆๆๆ.......ผู้เขียนเห็นว่า ผ&