ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเพื่อเป็นหลักฐานประกอบดังนี้
ตัวอย่างที่ 1
ผู้เขียนเชื่อว่า ผู้อ่านน่าจะเคยไปเที่ยวปิกนิก หรือพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่มีเด็กๆ ไปด้วย อาจจะเป็นตัวผู้อ่านเองในสมัยเด็ก สมมุติว่า เด็กกำลังหิว และจะไปหยิบขนมในตะกร้า แต่เมื่อผู้ใหญ่ร้องห้ามว่า
"อย่าหยิบ นั่นไม่ใช่ขนมของเรา"
นั่นหมายความว่า มีขนมของคนกลุ่มนั้นอยู่ แต่อยู่ที่อื่น ไม่ใช่ในตะกร้าที่เด็กกำลังจะไปหยิบกิน
ตัวอย่างที่ 2
ในกรณีนี้ สมมุติว่ามีการจัดรถทัวร์ไปเที่ยวกันเป็นหมู่คณะ เมื่อถึงเวลาจะกลับ ปรากฏว่า เพื่อนคนหนึ่ง กำลังจะขึ้นประตูรถคันหนึ่ง ปรากฏว่า เพื่อนตะโกนห้ามกันเสียงหลงว่า
"อย่า คันนั้นไม่ใช่รถของเรา"
นั่นหมายความว่า รถนำเที่ยวของคนกลุ่มนั้นมีอยู่ แต่เป็นคันอื่น
จากตัวอย่าง 2 ตัวอย่างข้างต้น ข้อความที่ว่า "นั่นไม่ใช่ตนของเรา" ข้อความนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า "ตน" ของเรามี
โดยสรุป คำแปลของคำว่าอนัตตาตามที่พุทธวิชาการแปลกันโดยทั่วไปว่า "ไม่ใช่ตัวตน" ยังไม่ถูกต้องตรงเผง ถ้าจะแปลให้ถูกต้องก็ต้องแปลว่า "ไม่ใช่ตัวตนของเรา" และความหมายจาก อนัตตลักขณสูตรดังกล่าว จะแปลอนัตตาว่า "ไม่มีตัวตน" ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เพื่อให้บทความนี้มีหลักฐานแน่นหนาตามหลักวิชาการ ผู้เขียนขอเสนอหลักฐานเพิ่มเติมว่า ในพระไตรปิฎกมีพุทธพจน์ที่แสดงให้เห็นว่า "ตน" มีอยู่มากกมายหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างที่ 1
อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา
บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน
จากพุทธพจน์ข้างตน ถ้า "ตน" ไม่มีแล้ว เราจะฝึกอะไร และฝึกไปทำไม การที่ปุถุชนธรรมดากลายเป็นพระอรหันต์ก็ผ่านการฝึกตนมาแล้วทั้งสิ้น
ตัวอย่างที่ 2
นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ
ความรักที่เสมอด้วยความรักตนไม่มี
จากพุทธพจน์ข้างตน ถ้า "ตน" ไม่มีแล้ว เราจะไปรักอะไร
ตัวอย่างที่ 3
จักกวัตติสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
[49] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างไรเล่า ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มี ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่ พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างนี้แล ฯ
พระสูตรสุดท้ายนี้สำคัญที่สุดในกรณีที่เป็นหลักฐานในบทความนี้ จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญกับ "ตน" มาก เพราะมีความสำคัญเทียบเท่ากับ "ธรรม" เลยทีเดียว และ"ธรรม" ดังกล่าวนั้นคือ สติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่สามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้
สรุปเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับบทความนี้ ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านสังเกตว่า พุทธวิชาการคนใดก็ตามที่กล่าวว่า อนัตตาแปลว่า ไม่ใช่ตัวตนก็ได้ ไม่มีตัวตนก็ได้ ในกรณีที่แปลว่า "ไม่มีตัวตน" นั้น จะไม่มีข้อความจากตัวอย่างทั้ง 3 ตัวอย่างข้างต้น ปรากฏอยู่ในข้อเขียนเหล่านั้น เพราะ พุทธวิชาการดังกล่าวเหล่านั้น ไม่สามารถหาหลักฐานมาอธิบายล้มล้างพุทธพจน์ดังกล่าวได้เลย ดังนั้น พุทธวิชาการเหล่านั้น จึงไม่เขียนถึงหรือละเลยพุทธพจน์ดังกล่าวเสีย เพื่อสร้างความชอบธรรมหรือความถูกต้องให้กับข้อเขียนของตน การกระทำอย่างนี้ เข้าข่าย "สัทธรรมปฏิรูปหรือปล่าว" ท่านผู้อ่านก็ลองคิดดู...............
------------------------------------
มนัส โกมลฑา
Ph.D. (Integrated Sciences/สหวิทยาการ)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
นครราชสีมา
Email: komoltha4299@gmail.com;komoltha4299@yahoo.com
Web site: http://komoltha.page.tl