ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร/ปฐมเทศนา
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การเห็นธรรมและเห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งว่า "เรา" นั้น ต้องใช้ "ตา" เป็นเครื่องมือ และต้องไม่ใช่ "ตา/จักษุธรรมดา" เมื่อค้นพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ผู้เขียนแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ พระพุทธเจ้ากล่าวถึง "ตา" อื่น นอกจาก "ตา/จักษุธรรมดา" ไว้ในปฐมเทศนา หรือพระสูตรแรก คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเลยทีเดียว
ความเป็นมาของธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมีดังนี้คือ
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว และทรงตั้งใจที่จะโปรดสัตว์แล้ว พระองค์ก็ทรงเลือกปัญจวัคคีย์เป็นผู้รับคำสั่งสอนเป็นคณะแรก ทีแรกปัญจวัคคีย์ปฏิเสธ เพราะ ไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจริงๆ พระพุทธองค์ก็ทรงตอบว่า เมื่อก่อนพระองค์ไม่เคยตรัสว่า บรรลุสมเด็จพระโพธิญาณมาก่อนเลยใช่ไหม เมื่อพระองค์ตรัสขึ้นมา นั่นก็แสดงว่า พระองค์ตรัสรู้เป็นสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง
ข้อความในส่วนของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
[๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุด สองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้านเป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?
ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้นที่ ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน. (พระวินัยปิฎก เล่ม 4 มหาวรรค)
จากข้อความที่ขีดเส้นใต้ "ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด" จะเห็นได้ว่า "ปัญญาอันยิ่ง" ซึ่งก็คือ ปัญญาที่เกิดจากสมถะ/วิปัสสนาทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เมื่อตรัสรู้แล้ว "ดวงตา" ก็เกิดขึ้น และ "ญาณ" ก็เกิดขึ้น
เมื่อพิจารณาเฉพาะคำว่า "ดวงตา" จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า "ดวงตา" ของพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นหลังจากการตรัสรู้นั้น หมายถึงตาอะไร และอยู่ที่ไหน
เมื่ออนุมานจากข้อความที่ยกมาข้างต้น ทำให้เราทราบว่า ในศาสนาพุทธต้องมี "ตา" มากกว่า 1 ประเภท ในความรู้พื้นฐานของพุทธเถรวาท ร่างกาย/ขันธ์ 5 ของแต่ละบุคคลนั้น จะมีตาเพียงคู่เดียวเท่านั้น การที่มีพุทธพจน์กล่าวว่า ยังมี "ตา" อีกอย่างน้อย 1 คู่ ก็อนุมานไปได้ว่า "ต้องมีกายมากกว่า 1 กายไปด้วย" เมื่อพิจารณาเฉพาะปฐมเทศนา/ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตา/จักษุก็มีอย่างน้อย 2 ประเภทแล้ว จึงเป็นอันที่น่าตั้งคำถามว่า ตา/จักษุในพระไตรปิฎกมีเพียง 2 ประเภทเท่านี้ หรือจะมีมากกว่า 2 ประเภท และปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มใดบ้าง
จักษุ 5 ประเภท
ในพระไตรปิฎกนั้น กล่าวถึงตา/จักษุไว้ถึง 5 ประเภท โดยพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส ดังนี้
[๕๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราย่อมเห็นหมู่สัตว์นี้ไปในตัณหาในภพทั้งหลาย ดิ้นรนอยู่ในโลก นรชนทั้งหลายที่เลว ยังไม่ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมร่ำไรใกล้ปากมัจจุ. สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา
[๕๑] คำว่า เราย่อมเห็น ... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุบ้าง. คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก. คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู [ซึ่งหมู่สัตว์นี้] ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว เอนเอียง กระสับกระส่ายไปมา
จากพระสูตรดังกล่าวจะเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า "ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู" เป็นการเห็น/การดูอย่างพินิจพิเคราะห์ อาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ครอบคลุมเกี่ยวกับการดู/การเห็นทั้งหมด ไม่ใช่เป็นการเห็นอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยจักษุ 5 ประเภทนี้คือ
1) มังสจักษุ
2) ทิพยจักษุ
3) ปัญญาจักษุ
4) พุทธจักษุ
5) สมันตจักษุ
การที่พระองค์ต้องทรงใช้ตา/จักษุทั้ง 5 ประเภทก็เพราะว่า พระองค์ทรงตรวจดูไปหลายภพ กล่าวคือ ตั้งแต่ อบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก จนถึง อายตนโลก
จากที่เขียนมาทั้งหมดข้างต้น พุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" นั้น สิ่งที่เป็นกรรมของกริยา "เห็น" มี 2 ประการคือ "ธรรม" กับ "เรา"
ขออธิบายแทรกตรงนี้ก่อนว่า โครงสร้างประโยคดังได้กล่าวมานั้น เป็นดังนี้คือ
ประธาน + กริยา + กรรม
จากความหมายของประโยคดังกล่าวนั้น ถ้ากล่าวโดยทั่วๆ ไป "ธรรม" กับ "เรา" จะต้องอยู่ใกล้กันมาก ถ้าเป็นตา/จักษุธรรมดา ก็ต้องอยู่ในขอบเขตของสายตาในการมองครั้งเดียว แต่ถ้าเป็นการ "เห็น" ด้วยตา/จักษุอื่นๆ ก็ต้องวิเคราะห์ไปตามบริบท (context) ของภาษาในช่วงนั้นๆ
เมื่อกล่าวถึงเฉพาะคำว่า "ธรรม" คำว่า "ธรรม"นี้มีความหมายหลากหลายมากทั้งอย่างกว้างที่สุดก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในอนัตตจักรวาล ทั้งสังขตธาตุและอสังขตธาตุ ทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม หรืออาจจะเป็นขันธ์ 5 นิวรณ์ 5 อย่างใดอย่างหนึ่งก็ใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสามารถกล่าวว่า เป็น "ธรรม" ได้ทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ดี คำว่า "ธรรม" ในประโยคดังกล่าว จะต้องไม่ใช่ธรรมชาติหรือธรรมะที่พบเห็นกันได้ง่ายๆ ด้วยตา/จักษุธรรมดาจะต้องเป็น "ธรรม" ที่สำคัญมาก เพราะ เมื่อเห็นธรรมดังกล่าวนี้แล้ว จะต้องเห็นพระพุทธเจ้าได้ด้วย
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ตาของพระวักกลิที่จะเห็นทั้งธรรมะและพระพุทธเจ้าด้วยนั้น จะเป็นตา/จักษุธรรมดาไม่ได้ จะต้องเห็นด้วยตาภายในคือ อาจจะเป็น ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ พุทธจักษุ หรือสมันตจักษุก็ได้ อย่างไรก็ดี พุทธจักษุกับสมันตจักษุนั้นสงวนไว้สำหรับพระพุทธองค์โดยเฉพาะ ดังนั้นตาจะเห็น "ธรรม" ได้ก็คือ ทิพยจักษุหรือปัญญาจักษุ เท่านั้น
สำหรับคำว่า "เรา" หรือพระพุทธเจ้า คำว่า "เรา" ดังกล่าวนั้น น่าจะรวมถึง "กาย" กับ "ใจ" ของพระพุทธเจ้าด้วยหรือไม่ หรือจะเห็นแต่เพียงกายอย่างเดียว และกายของพระองค์ที่พระวักกลิจะเห็นนั้น ต้องไม่ใช่พระวรกายเนื้อของพระพุทธองค์ ซึ่งพระวักกลิเห็นอยู่แล้วด้วยตา/จักษุธรรมดาอยู่แล้วในขณะนั้น จึงเป็นอันที่น่าสงสัยหรือน่าตั้งคำถามว่า "เรา" ในพุทธพจน์ดังกล่าว น่าจะเป็นกายใดของพระพุทธองค์?